No results found
If we have selected the wrong experience for you, please change it above.
ผู้เขียน
ปาริชาติ จิรวัชรา
พาร์ทเนอร์ | Technology & Transformation
ดีลอยท์ ประเทศไทย
ผู้มีส่วนร่วม
ทัศดา แสงมานะเจริญ
Senior Consultant | Clients & Markets
ดีลอยท์ ประเทศไทย
สถานการณ์การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์อาจไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด แต่กลับเป็นสถานการณ์ที่ชิปล้นตลาดในอุตสาหกรรมหนึ่งและขาดตลาดอีกอุตสาหกรรม ปัจจัยทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ต่าง ๆ ในปี 2566 ทั้งเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูง รวมทั้งบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ที่พากันชะลอตัว ได้ส่งผลให้เกิดการลดลงของมูลค่าหลักทรัพย์อย่างมาก บริษัทชิป 10 อันดับแรกทั่วโลกมีมูลค่าตามราคาตลาดลดลง 34% จากประมาณ 2.9 เหลือ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน 2564 และ 2565 ตามลำดับ แม้ว่าราคาของ High-end Memory ได้ลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ยังต้องใช้เวลารอสินค้าประมาณ 6 เดือน ณ ตุลาคม 2565 เมื่อเทียบกับช่วงปกติที่ประมาณ 3 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้การที่รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดกับกฎระเบียบการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงไปยังจีนในเดือนตุลาคม 2565 มีแนวโน้มส่งผลต่อทิศทางของอุตสาหกรรมทั้งหมดในปี 2566 อีกด้วย
แต่ก็ยังมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้เห็น ดีลอยท์คาดการณ์ว่าปี 2566 นี้อาจเป็นการหยุดเพื่อกลับมาเริ่มต้นให้อุตสาหกรรมชิปเข้าสู่ 5 แนวโน้มดังนี้
1. การดึงฐานการผลิตมาใกล้ตัวมากขึ้น ทั้งการสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ (Fabs) หรือ เพิ่มสายการผลิตใหม่จากโรงงานที่มีอยู่ โดยการใช้ประโยชน์จาก Friend-shoring
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่สามารถเดินหน้าแต่เพียงลำพังได้ แต่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนต่าง ๆ จากห่วงโซ่อุปทาน ชิปแต่ละชนิดอาจต้องใช้แผ่นเวเฟอร์ กระบวนการทางเทคโนโลยี วัตถุดิบ เครื่องมือออกแบบ และ อื่น ๆ ที่ต่างกัน บางส่วนอาจอยู่ในพื้นที่ของเรา (Onshoring) พื้นที่ใกล้เรา (Nearshoring) หรือพื้นที่ที่เป็นพันธมิตรกับเรา (Friend shoring) ซึ่งอาจอยู่ใกล้ ๆ หรืออีกฝั่งของโลก
2. กระจายความเสี่ยงและความท้าทายที่มากับ Localization และ Friend-shoring
อุตสาหกรรมชิปในสหรัฐและยุโรปต่างพิจารณาการกระจายห่วงโซ่อุปทานทั้ง Fabs และ ชิ้นส่วนของเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอาจย้ายจากฐานการผลิตในเอเชียแปซิฟิกสู่อเมริกาเหนือและยุโรปมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเลียนแบบความสามารถในการผลิตแบบโรงงานในเอเชียนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งโรงงานในเอเชียยังได้สำรองวัตถุดิบในการผลิตในปริมาณมากตั้งแต่ช่วงปัญหาจากโรคระบาด การค้า และ ห่วงโซ่อุปทานมาระยะใหญ่แล้ว และยังเป็นผู้นำในการผลิตและส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรงอีกด้วย
3. นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเปลี่ยนแปลงกระบวนการต่าง ๆ เช่น การวางแผนทางการเงิน การดำเนินการ การจัดการคำสั่งซื้อ และห่วงโซ่อุปทาน
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ภายในปี 2573 ซึ่งเพิ่มขึ้นสองเท่าในทศวรรษนี้ โดยการเติบโตนี้คาดว่าจะต้องมีการลงทุนในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันโรงงานประกอบและทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นโรงหล่อ หรือ OSAT (Outsourced Semiconductor Assembly and Test) กว่า 90% ตั้งฐานอยู่ในเอเชีย ในขณะที่หลายบริษัทในอุตสาหกรรมนี้กำลังขยายกำลังการประกอบและทดสอบในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งอาจทำให้ความท้าทายในแง่ของเทคโนโลยีและระบบห่วงโซ่อุปทานที่แยกส่วนรุนแรงขึ้น ดังนั้นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูล ERP การวางแผน และระบบการทำงานร่วมกันของซัพพลายเออร์พร้อมกับปัญญาประดิษฐ์และ cognitive technologies จะทำให้กระบวนการ OSAT มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยวางแผนล่วงหน้าสำหรับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในอนาคต
4. ตระหนักและให้ความสมดุลกับบุคลากรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอาจขาดแคลนในบางบทบาทในขณะที่กำลังลดพนักงานในส่วนอื่น
ในปี 2565 บุคลากรในอุตสาหกรรมนี้ขาดแคลนมาก ซึ่งอาจยิ่งรุนแรงในปี 2566 นี้ ดีลอยท์คาดการณ์ว่าแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ที่มีราว 2 ล้านคนทั่วโลกจากปี 2564 ต้องเพิ่มอีกกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2573 หรือเพิ่มปีละกว่า 1 แสนคน บริษัทผลิตชิปยังมีความท้าทายด้านบุคลากรจากความต้องการเร่งด่วนในการสร้างโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในหลายภูมิภาค จึงจำเป็นต้องเร่งการจ้างงานหลากหลายทักษะ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างวางท่อ ช่างเชื่อม วิศวกรด้านเทคนิค เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบอัตโนมัติในโรงงานอัจฉริยะ และ วิศวกรไฟฟ้าที่จบการศึกษาเฉพาะทาง เป็นต้น
5. จัดตั้งและมุ่งสู่เส้นทางการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG และความยั่งยืน
กระบวนการผลิตชิปจะต้องใช้พลังงาน น้ำ และ ก่อก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นด้วย ภายในปี 2573 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีแนวโน้มที่จะคิดเป็น 20% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก ดังนั้น นักลงทุน ลูกค้า บอร์ดบริหาร และ หน่วยงานกำกับดูแลจึงต้องการการเปิดเผยด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และ แนวทางการลดที่โปร่งใสและครอบคลุมมาก ผู้ผลิตชิปบางรายได้นำเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถรีไซเคิลและนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้แล้ว นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ ได้เพิ่มพลังงานหมุนเวียนที่ใช้เพื่อผลิตพลังงานสำหรับอาคารสำนักงานและโรงงานผลิตของตน นอกจากนี้ การใช้น้ำและพลังงานให้น้อยลงไม่เพียงแต่ลด ESG footprint เท่านั้น แต่ยังสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้เนื่องจากการใช้จ่ายทรัพยากรลดลง ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผลกำไรในอนาคต
สถานการณ์เซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้ากล่าวว่า การค้าเซมิคอนดักเตอร์ของไทย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า (IC) และกลุ่มอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด (O-S-D) อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของไทยปรับตัวดีขึ้นจากการนำเข้ากลุ่ม IC เพิ่มขึ้นจาก 4.8 แสนล้านบาทในปี 2564 เป็น 6.7 แสนล้านบาท ล้านบาทในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 38% ซึ่งการนำเข้าในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 นำเข้าจากไต้หวันเป็นหลักที่ 75,126 ล้านบาท สำหรับกลุ่มอุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ และไดโอด การนำเข้าเพิ่มขึ้นจากประมาณ 8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เป็นมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 25% และการนำเข้าในเดือน มกราคม-เมษายน 2566 ส่วนใหญ่มาจากจีนที่ 25,042 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการแยกเทคโนโลยีระหว่างจีนกับตะวันตก เช่น การที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ไปยังจีนก็ส่งผลกระทบต่อไทยเช่นกัน TDRI ระบุว่าการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งการใช้เซมิคอนดักเตอร์ส่วนใหญ่เป็นการผลิตรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสัญญาณที่สดใส การกระจายการจัดหาชิปจากไต้หวันและจีนไปยังสมาชิกอาเซียนของสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกชิปกลุ่ม O-S-D ของไทยไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 145% จาก ม.ค.-เม.ย. 2565 ถึง ม.ค.-เม.ย. 2566 สู่ยอด 29,299 ล้านบาท
Did you find this useful?
To tell us what you think, please update your settings to accept analytics and performance cookies.
To view content specific to your region, please type your location in the search box.